เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรมะเนาะธรรมะคือความร่มเย็นเป็นสุขความร่มเย็นเป็นสุขคือหัวใจร่มเย็นเป็นสุขความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราคิดว่าที่ไหนร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันห้องแอร์ ที่ไหนที่มันมีอากาศอุณหภูมิมันต่ำ มันมีความหนาวเย็น เราว่าร่มเย็นเป็นสุขร่มเย็นเป็นสุขอย่างนั้นมันเป็นเรื่องภูมิอากาศ

แต่ถ้าความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจนะความอบอุ่นในหัวใจ หัวใจมันอบอุ่นเพราะอะไรล่ะ หัวใจมันอบอุ่นเพราะมันไม่มีกิเลสยุแหย่ ถ้ามีกิเลสมันยุมันแหย่เพราะอวิชชาเพราะกิเลสนั้นพาให้เราเกิดมา

การเกิดมาความอยาก ความอยากด้วยคุณงามความดีเป็นมรรคเป็นมรรคคือคุณงามความดี คืออำนาจวาสนาบารมี คือพยายามสร้างสมบุญญาธิการของเรานี่ แต่ถ้ามันเป็นบาปอกุศล เป็นบาปอกุศลเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันการทิ่มการแทงการทำลายกัน อันนั้นเป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าเป็นคุณงามความดีคุณงามความดีนะทำดีทำได้ยากทำได้ยาก แล้วทำต่อเนื่องก็ทำได้ยาก เพราะอะไรเพราะคุณงามความดีมันต้องมีสติมีปัญญา มีความอดทนไงความอดทน เพราะความดีทำได้ยากไง

แต่ทำชั่วทำได้ง่าย มีปากระรานจะเที่ยวถากเที่ยวถางใคร มันง่ายดายทั้งนั้นน่ะมันทำได้ทั้งนั้นน่ะแต่มันสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าคุณงามความดี พูดจาอ่อนหวาน พูดจานุ่มนวล เขาฟังแล้วมันจืดชืด มันไม่สะเทือนใจ แต่ถ้ามันพูด คนถ้ามีสติปัญญา เขาฟังอย่างนั้นเขาก็สะเทือนใจของเขาได้

ดูเมืองไทยเรา เมืองไทยเราเวลาจะพัฒนาในหลวงจะพัฒนาเมืองไทย ท่านคิดของท่านนะ ต้องสุขภาพกายของประชาชนแข็งแรงก่อน ถึงได้พัฒนาทางสาธารณสุขทางสาธารณสุขให้คนเข้มแข็ง ให้คนร่างกายแข็งแรง ให้คนเข้มแข็งขึ้นมา จะทำหน้าที่การงานก็ทำได้พอทำได้แล้วนะต้องมีการศึกษาพอมีการศึกษา คนที่แข็งแรงแล้วจะต้องมีปัญญา เวลามีปัญญา มีการศึกษา

ทีนี้การศึกษา การศึกษาของเรา เราเป็นวัฒนธรรมประเพณี การศึกษาด้วยการเล่านิทาน ด้วยฟังจากปากกันมา ไปค้นคว้าๆ เพราะเราเคยชินกันอย่างนั้นไง เราเคยชินกันอย่างนั้น เวลาเราศึกษา เราศึกษามันต้องขวนขวายด้วยตัวของตัวเอง นั่นพูดถึงการศึกษานะ

แต่ถ้าเราจะเอาความจริงในหัวใจขึ้นมา ความจริงในหัวใจศึกษาแล้วยังต้องมาประพฤติปฏิบัติอีก เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอสร้างคุณธรรมในหัวใจๆ ถ้าเราสร้าง เวลาทำบุญกุศลด้วยอำนาจวาสนาบารมี เราก็คิดกัน อยากถูกรางวัลที่หนึ่งอยากจะทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทางโลก

ประสบความสำเร็จมันก็ประสบความสำเร็จ อันนั้นมันก็ต้องเป็นบุญกุศลเหมือนกันนะ ถ้ามีบุญกุศล บุญกุศลคืออำนาจวาสนาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดจะมีคนเกื้อกูลมา

หลวงตาท่านบอกเลยทำบุญกุศล ทำบุญเวลาตกทุกข์ได้ยากจะมีคนมาช่วยเหลือเจือจานเราไม่เคยทำสิ่งใดไว้เลย เวลาตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาไม่มีใครมาดูแลเราเลย เราพึ่งใครไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะเราก็ไม่เคยทำอะไรเลยเหมือนกัน

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ท่านสร้างของท่านมาทั้งนั้นน่ะ ท่านทำของท่านมาท่านเสียสละของท่านมา ยิ่งชาติสุดท้ายเป็นพระเวสสันดร เสียสละลูก เสียสละเมีย

คำว่า “เสียสละลูก” ลูกเราใครไม่รักลูกเราลูกเรานะ ปากก็ว่าไม่รักๆ แต่หัวใจมันสั่นไหวถ้าใครทำกระทบกระเทือนถึงลูกของเรา แต่เขามาขอไปต่อหน้า แล้วเขาตีต่อหน้า ถ้าคนที่ไม่มีความรับผิดชอบมันก็เรื่องหนึ่ง ก็พอทนได้แต่คนที่เป็นสุภาพบุรุษ คนที่รับผิดชอบสูง มันสะเทือนหัวใจมากสะเทือนหัวใจมากเพราะว่ามันสะเทือนกิเลสไงแต่ท่านจะต้องอดกลั้นของท่านไว้ถ้าอดกลั้นของท่านไว้ นี่ชาติสุดท้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องสละลูกสละเมียทั้งนั้นน่ะ เพราะสิ่งนี้ ลูกเมียมันเป็นบ่วงบ่วงรัดเท้า บ่วงรัดคอ บ่วงรัดมือ บ่วงที่มันรัดไว้ มันรัดหัวใจเราไว้ มันรัดคอไว้ คล้องคอไว้แล้วเราสละไปไม่ได้ไง เราสละไปไม่ได้ แต่เวลาเสียสละ เสียสละขณะที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เสียสละเป็นพระโพธิสัตว์ มันสะเทือนหัวใจนะมันสะเทือนหัวใจนี่สร้างอำนาจวาสนาบารมีไง

ถึงเวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เราจะออกบวชๆ มันละล้าละลังๆ ทั้งนั้นน่ะถ้าเรายังมีความรู้สึกอยู่ มันยังมีผลกระทบอยู่ มันมีทั้งนั้นน่ะ พอเรามีทั้งนั้น ทีนี้เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราตั้งสติของเรา มันต้องกระทบกระเทือนไหม กระทบกระเทือนทั้งนั้นน่ะเวลาออกมา ดูสิครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ถ้าความเห็นไม่ลงรอยกัน มันจะมีความขัดแย้งกันไปทั้งนั้นน่ะ แล้วคิดดูสิ ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเขามีลูกมีหลานของเขา เขาก็หวังว่าจะสืบทอดตระกูลของเขา

เราเสียสละออกมาบวช บวชเพราะอะไร บวชเพราะบุญที่เขามองไม่เห็นไง เวลาเราบวชมาแล้ว ดูสิลูกบวช พ่อแม่ได้๑๖ กัป บุญกุศลได้๑๖ กัป ๑๖ กัปมันคืออะไรล่ะ ๑๖ กัปนั่นน่ะเลือดเนื้อเชื้อไขของเราไปค้ำศาสนาไว้ แล้วเลือดเนื้อเชื้อไขเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมา ดูสิ เวลาพระอรหันต์ เวลาตายแล้ว เวลาเผามาอัฐิธาตุ ใครๆ ก็อยากได้ สิ่งใดก็อยากได้ทั้งนั้นน่ะ

เวลาคนตาย ทุกคนเขาเอาไปเผาทิ้ง เขารังเกียจทั้งนั้นน่ะเพราะเขากลัว เขากลัว ถ้าทำคุณงามความดี ดูสิ เอาธาตุขันธ์นี้มาค้ำจุนศาสนา แล้วค้ำจุนศาสนานะค้ำจุนศาสนา เราเป็นสาวกสาวกะเป็นภิกษุ เป็นสมมุติสงฆ์ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเราก็มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันเราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่ได้บวชไม่ได้เรียน เราก็ประพฤติปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติได้เราทำความจริงของเราในหัวใจของเรา

เวลาเขาจะพัฒนาชาติไทยเขาต้องพัฒนาสุขภาพของประชากรก่อนประชากรต้องมีสุขภาพแข็งแรงถ้าประชากรมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ประชากรต้องมีเชาวน์ปัญญา ถ้ามีเชาวน์ปัญญาฝึกฝน เขาจัดอบรมทำธุรกิจ จัดอบรมเพื่อทำธุรกิจให้ออกไปประกอบสัมมาอาชีวะ ถ้าประกอบสัมมาอาชีวะสัมมาอาชีวะมันออกไปเป็นวงกว้าง สิ่งนี้ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขไง ผู้ที่ปกครองเขามีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น เขาทำของเขาอย่างนั้น

เราเกิดมาในประเทศอันสมควรไง สมควรแล้ว ทีนี้เราปากกัดตีนถีบขวนขวายของเรามันก็เป็นอำนาจวาสนาของคนแล้วทำไมคนคนหนึ่งทำแล้วประสบความสำเร็จ คนคนหนึ่งทำแล้วล้มลุกคลุกคลานความล้มลุกคลุกคลาน แต่ถ้าหัวใจของเขาประสบความสำเร็จในหัวใจของเขา เขาประหยัดมัธยัสถ์ของเขา ทำมาด้วยกัน ได้สิ่งตอบแทนไม่เท่ากัน แต่เขารู้จักเก็บรักษาของเขา เขาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาได้เราก็ได้มาของเราเราสุรุ่ยสุร่าย เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเรา เราได้มาเหมือนกัน แต่สติปัญญาของเราไม่เท่าเขา ถ้าไม่เท่าเขา เรารักษาสมบัติของเราไม่ได้

นี่ไง ถ้าร่างกายมันแข็งแรงแล้ว จิตใจถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมาแล้วรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เราไม่แพ้หัวใจของเราเองไง เห็นเขามีก็อยากมีไปกับเขาเห็นช้างขี้ก็จะขี้ตามเขา นั่นมันช้าง ช้างมันขี้ ดูสิมูลของมันกองเบ้อเร่อเลย ไอ้เราจะขี้ให้เท่ากับช้างมันเป็นไปไม่ได้หรอก

เราก็รักษาดูแลหัวใจของเราเขามีเขาเป็น เขามีเขาเป็น เขาพอใจของเขา แต่เราพอใจความเป็นอยู่ของเรา เราพอใจในสถานะของเรา เราพอใจในลมหายใจเข้าและลมหายใจออกของเรา ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เรายังมีความสุขของเราอยู่ สิ่งที่เครื่องประดับ สิ่งต่างๆ ที่จะมีเท่าเขาๆ เรามีพอใช้พอสอยของเราก็ได้ แล้วสิ่งที่เหลือ เราเอามาทำประโยชน์ก็ได้ เราสะสมของเราไว้ได้เราก็มีทรัพย์สมบัติของเราขึ้นมา มันทำได้ทั้งนั้นน่ะถ้ามันมีสติปัญญา แต่ตัวเองจิตใจอ่อนแอจิตใจอ่อนแอ สิ่งใดเกิดขึ้นก็อยากได้เทียมหน้าเทียมตาเขา

เวลาครูบาอาจารย์ของเราผ้า ๓ ผืนเท่านั้นน่ะผ้า ๓ ผืนทั้งชีวิตใช้ผ้า ๓ ผืนตลอดสิ่งนี้ปัจจัยเครื่องอาศัย สมบัติของพระก็บริขาร ๘ สิ่งนั้นมันเป็นสมบัติกลาง เป็นของสงฆ์ทั้งนั้นน่ะ ของสงฆ์เราใช้ของสงฆ์สงฆ์ดูแลกัน สงฆ์ดูแลกัน สงฆ์คุ้มครองดูแลกันมันก็เป็นความสงบสุข เพราะมันเสมอภาคกันไงหัวหน้ากับสามเณรน้อยก็ใช้เหมือนกัน อยู่ในจำนวนใช้สอยเหมือนกัน ของที่ใช้เหมือนกัน ไม่ลำเอียงเพราะรักไม่ลำเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียง ไม่ลำเอียง

แต่เวลาถ้าเป็นธรรมะ ภาวนาได้หรือไม่ได้นั่นเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ลำเอียง จริงก็คือจริง ถ้ามันเป็นความจริง มันเป็นความจริงวันยังค่ำ แต่ถ้าความไม่ลำเอียง มันไม่มีความลำเอียง แต่ถ้าเป็นสัจธรรมสัจธรรมเพราะอะไร เพราะจริตนิสัยของคนทำมาไม่เหมือนกัน คนเราทำแล้วได้หรือทำไม่ได้ มันก็เหมือนกับที่ว่าคนเราได้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน คนหนึ่งรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขาก็มีส่วนเหลือของเขาคนหนึ่งใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของเขาไม่พอใช้แล้วยังต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้อีกต่างหาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาประพฤติปฏิบัติไปของเขา จะอยู่ที่จริตนิสัยของเขาถ้าเขาทำของเขามันเป็นประโยชน์ของเขา เขาเก็บเล็กผสมน้อยของเขา เขาสำรวมระวังของเขา เขาก็มีสติมากขึ้น เวลาเขาบริกรรมของเขา เขาก็จะได้ประโยชน์ของเขาถ้าเขาฝึกหัดใช้ปัญญาของเขา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ได้สิ่งใดมาแล้วก็ของกูๆ ไม่ยอมฝึกหัดไม่ยอมใช้ปัญญาของตัวเอง

ปัญญาของตัวเองไม่ยอมฝึกหัด ไม่ยอมค้นคว้า ปัญญามันจะเกิดจากไหน มันเป็นสัญญา มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจำของท่านมา แล้วพอจำของท่านมาแล้วก็คิดว่าตัวเองคิดมาแล้วมันมีปัญญาๆ แล้วปัญญาของตัวเองก็ไม่ฝึกหัด ไม่ใช้สอยของตัวเองมันก็ไม่เกิดขึ้นเป็นปัญญา

ชาวไร่ชาวนาเขาจะได้ผลตอบแทนขึ้นมาเพราะเขาทำประโยชน์ของเขาเขาทำไร่ไถนาขึ้นมา เขาได้ผลตอบแทนของเขาเขาถึงได้ผลตอบแทนของเขาเราไปดูงาน เราไปศึกษา เราไปดูงานเราไปฝึกหัดความรู้มา แล้วความรู้นี้มันทำมาได้จริงหรือยัง

นี่ไง ที่ว่าเวลาไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชังมันไม่ลำเอียงเพราะมนุษย์เท่ากับมนุษย์ ต้องมีปากมีท้องเหมือนกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรมมีความเสมอภาคกัน มีปากมีท้องเหมือนกัน อิ่มหนึ่งเหมือนกัน เรารักษาเหมือนกันแต่หัวใจของคนหัวใจของคนที่มันไม่รู้ มันไปน้อยเนื้อต่ำใจของมันเองของมันเองมันก็เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสมันคิดของมันไปเองไง กิเลสมันคอยผลักให้หัวใจนี้ล้มเหลวไปตลอดเวลา

เราจะเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมาไง ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมาต้องทำของเราให้ได้ไง ถ้าทำของเราให้ได้ ถ้ามันเข้มแข็ง มันเข้มแข็งจากหัวใจแล้ว สิ่งที่เป็นวัตถุก็คือวัตถุ ก็มองแต่วัตถุมองแต่สิ่งที่มองเห็นได้ทางโลก ดูสิคนจะร่ำจะรวย เขามีสถิติว่าใครมีเงินมีทองมากกว่ากันแต่ไม่มีใครเห็นว่าใครมีน้ำใจสูงกว่ากัน ใครมีน้ำใจกว้างขวางกว่ากัน

ถ้ามีน้ำใจกว้างขวางกว่ากันอย่างเรามีน้ำใจกว้างขวางกว่าเขาแต่เราไม่มีทรัพย์สมบัติที่เราจะเสียสละได้อย่างนั้นหัวใจของเรามันก็มีความต้องการขนาดนั้น แต่เราไม่มีปัญญาที่จะหามาได้ ความกว้างขวางของหัวใจมันนับเป็นวัตถุ นับมาเป็นสิ่งนั้นมันก็นับไม่ได้ใช่ไหม คนที่กว้างขวางเขาทำสาธารณประโยชน์เขาดูแลกัน เขาให้โอกาสคนอื่นทั้งนั้นน่ะ เขาอำนวยความสะดวก

คนที่เห็นแก่ตัวๆ มาถึงก็มากีดขวางเขาไปหมดแหละ มันคับโลก โลกนี้ไม่มีที่อยู่ โลกนี้เล็กกว่าความต้องการ เล็กกว่าความปรารถนา มันจะครองโลก แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่เห็นนะ โลกทัศน์ โลกจากภายใน จิตหนึ่ง โลกหนึ่ง โลกของเรา เวลาโลกของตัวเองมันไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักไม่เห็นโลกของตัวเอง แต่มันไปเห็นโลกของจักรวาลเห็นโลกนอก มันจะครอบครองโลกไง แต่มันไม่เห็นโลกทัศน์ของมันเพราะจิตมันไม่เคยสงบ จิตมันไม่เคยเห็นการเวียนว่ายตายเกิด จิตมันไม่เห็นปฏิสนธิจิต จิตมันมาจากไหน

ไอ้โลกนี้ถ้ามันดูแลรักษา ถ้ามันสำรอกมันคายของมัน เห็นไหมเวิ้งว้างไปหมดหลวงตาท่านบอกว่าเวลาสิ้นกิเลสไปแล้วเหมือนพญามังกรมันไป ๓ โลกธาตุ มันกว้างขวางมันไปในอากาศดูสิ มังกรมันไปในอากาศ มันไปได้ไม่มีขอบเขตของมัน ไม่มีสิ่งใดไปกีดขวางมันเลยมันเป็นอิสรภาพมันไปได้หมดเลย

แต่เดิมไปตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ โลกของตัวก็ไม่เห็น แล้วจะครองโลก จะนั่งบนโลก มันก็ไม่ได้สิ่งใดเลย แต่ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา เห็นโลกทัศน์ของตัว ภวาสวะของตัว ทำลายอวิชชาของตัวพอทำลายหมดแล้ว โลกภายในมันไม่มี ไม่มีภวาสวะ ไม่มีสถานที่ไม่มีให้บุญกรรมมันสถิตอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่มันจะตั้งอยู่ได้ มันเวิ้งว้างมันไปของมันหมด มันไปของมัน นี่ไง ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว มันจะได้ประโยชน์มหาศาลเลย

ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความคิดว่าตัวเองมีปัญญาๆ มันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า“ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ก็บังคับว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นอย่างไรล่ะ

ธรรมะมันเหนือธรรมชาติเหนือโลก เหนือการเกิดการตายเหนือทุกอย่างพอเหนือทุกอย่างมันเข้าใจทั้งหมดเวิ้งว้างไปหมดไม่มีสิ่งใดจะกีดขวางมันได้เลย นี่มันเกิดจากไหนล่ะ

เกิดจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้เวลาเราปรารถนาเราก็ปรารถนาที่นั่น เวลาเราทำบุญกุศลเหมือนกัน เราก็อยากไปสวรรค์อยากจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมเพราะมันเป็นสถานที่ มันเป็น ๓โลกธาตุ กามภพรูปภพ อรูปภพ มันเป็นสถานที่ที่เราเห็น เราจับต้องได้เราเคยเวียนว่ายตายเกิด มันอุ่นใจ

แต่บอกว่าสิ้นกิเลสไปเลยเขาพูดเหน็บแนมตลอด “ไม่อยากไปไปแล้วไปอยู่คนเดียว สู้อยู่บนสวรรค์ มันมีนางฟ้า” ชอบอย่างนั้นน่ะ นี่เวลาเราคิดได้ไง ก็คนเรามันจินตนาการได้เท่ากับที่เรารู้ไงมันจินตนาการได้เท่ากับสัญญาที่มันจำได้ไง แต่ถ้ามันสิ้นสุดออกไปแล้วดูพญามังกรมันไปของมันทั่ว

แล้วไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพแล้วมันเป็นมังกรได้อย่างไร

อันนี้มันเป็นบุคลาธิษฐานเวลาแสดงธรรมๆเป็นบุคลาธิษฐานจะต้องให้พวกเราเห็นภาพได้ ท่านพูดถึงการเห็นภาพ ความเป็นอิสระ ความเป็นอิสระ ความไม่เวียนว่ายตายเกิดทีนี้ท่านก็ไปเทียบกับพญามังกร ไปเทียบต่างๆ อันนี้เวลาครูบาอาจารย์ถ้าท่านมีสมบัติตามความเป็นจริง ท่านมีคุณธรรมจริงในหัวใจ ฉะนั้นคุณธรรมจริงในหัวใจมันเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเอามาตีแผ่ เอามาเสนอ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีกำมือในเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบตลอดเลยแบตลอด ให้เราค้นคว้า ให้เราแสวงหา ให้เราทำของเราขึ้นมา

แต่ดูสิ แบออกมาแล้วก็เห็นแต่มือ ฝ่ามือเท่านั้นน่ะ ไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าเป็นนามธรรม อากาศความว่างต่างๆ ถ้ามันภาวนาไปแล้วมันจับต้องได้ มันพิจารณาได้ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเข้าใจได้ พอเข้าใจได้ ท่านถึงบอกเป็นบุคลาธิษฐาน

คนที่มีความจริงในหัวใจมันพูดได้วันยังค่ำพูดได้ทุกวันทุกคืนพูดได้ตลอดเวลาเพราะมันมีองค์ความรู้อยู่อันนั้นแล้วเปรียบเทียบก็เปรียบเทียบขึ้นมาจากใจอันนั้น จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นคือหัวใจของพวกเรานี่ไง หัวใจที่มืดบอด บุญมันเป็นอย่างไร นรกสวรรค์เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เกิดมาจากไหนก็ไม่รู้ตายไปแล้วไปไหนก็ไม่รู้ เลยบอกว่าไม่มี ตายแล้วก็สูญตายแล้วก็จบ

ถ้าตายแล้วก็สูญนะ ลูกเต้าของเรา ญาติพี่น้องของเรามันจะต้องเหมือนกันทุกๆ คน เพราะเกิดจากพ่อจากแม่คนเดียวกัน เกิดจากพ่อจากแม่คนเดียวกัน ความคิดความเห็นก็ไม่เหมือนกัน ความเห็น เวลาเกิด ถ้าเป็นวัตถุ เป็นธาตุร่างกายตรวจดีเอ็นเอนี่ของพ่อของแม่หมดเลยแต่จิตใจตรวจกันไม่ได้ พ่อแม่เป็นคนดีแสนดีเลย ลูกมันทำไมไประรานชาวบ้านอย่างนั้นมันไม่เหมือนกันน่ะ บางคนพ่อแม่อัตคัดขัดสนลูกไปสร้างเนื้อสร้างตัวมาเป็นมหาเศรษฐีโลกเฮ้ย! ทำไมลูกมันดีกว่าพ่อแม่มันล่ะ นี่จิตอันนั้นๆ เห็นไหม สิ่งนี้สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ถ้าบอกว่าตายแล้วสูญๆ มันคืออะไรล่ะ ทำไมลูกมันดีกว่าพ่อแม่ของมัน ทำไมลูกมันเลวร้ายกว่าพ่อแม่ของมัน ทำไมไม่เหมือนพ่อแม่ของมันล่ะ แล้วความปรารถนาของมันก็เป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าผลของวัฏฏะไง

กรรมดีและกรรมชั่วเวลาสิ้นกิเลสไปแล้วมันไม่มีสถานที่ตั้งของกรรมดีและกรรมชั่วกรรมดีและกรรมชั่วสิ้น ข้ามพ้นทั้งดีและชั่วไป แต่ถ้ามันยังมีของมันอยู่เห็นไหม แม้แต่ทำลายกามราคะมันยังเกิดบนพรหม บนพรหมบนพรหมจรรย์ไม่มีกาม แต่เขาต้องไปเกิดเพราะมันยังมีสถานที่เกิด มันยังมีภวาสวะ มีภพ มีสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน

แต่ถึงที่สุดทำลายๆๆ วัฏฏะก็เป็นวัฏฏะอย่างนี้กามภพ รูปภพอรูปภพก็เป็นอย่างนี้ เพราะอะไรเพราะจิตหนึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แต่จิตดวงนี้ได้ทำลายตัวมันเองแล้วจบสิ้นกระบวนการ ถ้าครูบาอาจารย์ ถ้าท่านจะดูแลรักษาก็ดูแลรักษาอย่างนี้

เหมือนในหลวง ในหลวงท่านจะพัฒนาประเทศไทย ท่านต้องพัฒนาสาธารณสุขเพื่อความเข้มแข็ง เพื่อความปลอดภัยเพื่อให้สุขภาพของประชาชนเป็นคนที่แข็งแรง ถ้าแข็งแรงแล้วต้องมาฝึกหัดปัญญา

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นภายในสิ่งที่ความเป็นอยู่เราอยู่ด้วยกัน นู่นก็เป็นอาบัติ นี่ก็เป็นอาบัติ

เป็นอาบัติจริงๆ ไอ้นี่เป็นศีลสมาธิ ปัญญา แล้วเกิดขึ้นมา เกิดภาวนามยปัญญาเกิดปัญญาญาณเกิดจากข้างในแล้วมันทำลาย มันต้องมีความจริงจริงๆ สิ มันพูดได้เหมือนทางวิทยาศาสตร์ จริงๆอย่างนี้

ถ้าไม่จริงคนอื่นที่ทำ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เทศนาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ แล้วถ้ามันไม่เห็นจริงทำไม่ได้จริง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลล่ะ มันต้องมีความจริงอย่างนั้น แล้วเป็นความจริงอย่างนั้นมันเป็นปัจจัตตังเป็นเฉพาะดวงใจอันนั้น มันเป็นความจริงอันนั้นเป็นความจริงจริงๆ แล้วเราปฏิบัติได้จริงๆ ถ้าเราเข้มแข็ง

มันละเอียดลึกซึ้งจนแบบว่ามันเป็นนามธรรมจนพวกฉวยโอกาสเขามาแถกันน่ะ ก็ว่าอย่างนั้น ก็ว่ากันตามแต่ที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้ ก็ว่าตามกันไป ฉวยโอกาสเพราะอะไร เพราะเป็นสัญญา เป็นวิชาการที่ศึกษาได้แต่ความจริงไม่มีเพราะความจริงไม่มีถึงควบคุมใจไม่ได้ เพราะความจริงไม่มีพฤติกรรมมันถึงแสดงออกอย่างนั้น เอวัง